รักษารอยแผลเป็นจากอีสุกอีใส ใครว่าเป็นตอนโตผิวจะกลับมาสวยเหมือนเดิมไม่ได้
อีสุกอีใสเกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella Virus) อาการที่พบคือมีไข้ จากนั้นเริ่มมีผื่นขึ้นคัน ตามด้วยตุ่มพองใส สุดท้ายคือกลายเป็นตุ่มแห้ง แต่โดยส่วนมากแล้วพอเริ่มเป็นระยะตุ่มใสจะมีอาการคันมาก จนผู้ป่วยมักจะเกาจนตุ่มพองใสแตกทำให้ผิวบริเวณนั้นกลายเป็นแผลเป็นซึ่งทิ้งรอยไว้นับปีหรือในบางรายอาจใช้เวลาหลายปีเลยทีเดียวกว่ารอยแผลจะจางลง
ตัวผู้เขียนเองก็เคยผ่านประสบการณ์การเป็นอีสุกอีใสมาเช่นเดียวกันกับใครหลายคน แต่โชคร้ายกว่าหน่อยที่มาเป็นในช่วงเบญจเพศ อายุ25ปีพอดี เพราะเท่าที่เคยได้ยินมาแผลเป็นจากอีสุกอีใสในวัยผู้ใหญ่ รวมทั้งอาการไข้จะมีความรุนแรงกว่าวัยเด็กอยู่มากทีเดียว แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ อาการไข้ของผู้เขียนในคราวที่เป็นอีสุกอีใสถือว่าหนักหนาสาหัสเลยทีเดียว ทั้งปวดหัวชนิดที่เจ็บร้าวและหนาวสั่นจนลุกไม่ไหว อีกทั้งตุ่มใสที่ขึ้นทั่วร่างไม่เว้นบนใบหน้าก็คันเสียจนตอนที่นั่งพิมพ์อยู่นี้ยังรู้สึกคันตามไปด้วย ทั้งๆที่ผ่านมาแล้วถึงสองปี คงไม่ต้องบรรยายแล้วว่าคันหนักเพียงใด
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นอยู่ประมาณ4-5วันอาการจึงทุเลา ตุ่มใสที่คันและเกาจนแตกทั่วร่างก็กลายเป็นแผลตกสะเก็ด จนสังเกตได้ว่ามีจุดสีดำอันเกิดจากการเกาตุ่มใสนั้นกระจายอยู่ทุกจุดบนร่างกายไม่เว้นแม้แต่ใบหน้า ความกังวลใจจากโรคที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนจากปวดหัวเป็นไข้มาเป็นกังวลใจเรื่องผิวพรรณแทน ตัวผู้เขียนเองเป็นคนผิวขาวเหลือง ผิวกายแทบจะไม่มีแผลเป็นใดๆเลย ใครๆต่างก็ชื่นชมในผิวของผู้เขียน มาตอนนี้ผิวพรรณที่เคยสวยงามเรียบเนียนกลับเต็มไปด้วยแผลเป็น สร้างความไม่มั่นใจเป็นอย่างมาก ด้วยตัวผู้เขียนเองชอบแต่งตัวแบบเผยผิว ดังนั้นแล้วเมื่อพอมีแรงและหายไข้บ้างแล้ว สิ่งแรกที่ผู้เขียนทำคือพอกผิวด้วยสมุนไพร
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นอยู่ประมาณ4-5วันอาการจึงทุเลา ตุ่มใสที่คันและเกาจนแตกทั่วร่างก็กลายเป็นแผลตกสะเก็ด จนสังเกตได้ว่ามีจุดสีดำอันเกิดจากการเกาตุ่มใสนั้นกระจายอยู่ทุกจุดบนร่างกายไม่เว้นแม้แต่ใบหน้า ความกังวลใจจากโรคที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนจากปวดหัวเป็นไข้มาเป็นกังวลใจเรื่องผิวพรรณแทน ตัวผู้เขียนเองเป็นคนผิวขาวเหลือง ผิวกายแทบจะไม่มีแผลเป็นใดๆเลย ใครๆต่างก็ชื่นชมในผิวของผู้เขียน มาตอนนี้ผิวพรรณที่เคยสวยงามเรียบเนียนกลับเต็มไปด้วยแผลเป็น สร้างความไม่มั่นใจเป็นอย่างมาก ด้วยตัวผู้เขียนเองชอบแต่งตัวแบบเผยผิว ดังนั้นแล้วเมื่อพอมีแรงและหายไข้บ้างแล้ว สิ่งแรกที่ผู้เขียนทำคือพอกผิวด้วยสมุนไพร
สมุนไพรที่ตัวผู้เขียนใช้อยู่บ่อยครั้งก่อนหน้านี้คือผสมมะขาม ทานาคา ไพล ขมิ้นอ้อยรวมกันเพื่อใช้ในการขัดผิวพอกผิว แต่ขณะที่ยังคงมีสะเก็ดแผลทั่วร่าง ผู้เขียนจึงตัดมะขามออกไปจากส่วนผสม พอกแค่สมุนไพรสามตัวนั้นแทน ปริมาณในการใช้พอกผิวคือสมุนไพรทั้งสามตัว ทานาคา ไพล ขมิ้นอ้อยชนิดผงแห้งอย่างละ2ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำพอเป็นครีมข้นแล้วนำมาขัดผิวพอกผิวหลังอาบน้ำ ทำอยู่อย่างนี้ประมาณ1เดือน สะเก็ดแผลหลุดออกไปจนหมดเหลือทิ้งไว้เพียงรอยแผล
จากเป็นคนที่มีผิวเรียบเนียนจนทุกคนต้องเอ่ยชม ตอนนี้กลับกลายเป็นคนผิวลาย ความมั่นใจทั้งหมดที่มีก็หายไป แต่แล้วคืนหนึ่งที่ต้องไปเที่ยวกลางคืน การสวมชุดโชว์ผิวที่เคยใส่อยู่ทุกครั้งก็กลายเป็นเรื่องหนักใจในทันที หากเราโชว์ผิวไปคนจะมองเราอย่างไร จะมีคนหัวเราะในผิวเราไหม คิดหนักเข้าๆจนต้องหันกลับมาถามตัวเองอีกครั้ง เราจะอายใครทำไม ในเมื่อสิ่งนี้คือผิวเรา ต่อให้ผิวเราจะเปื่อย จะไหม้ จะลายมากกว่านี้ อย่างไรเสียนี่ก็คือผิวเรา ถ้าเราไม่รักและไม่ภูมิใจในตัวเองทุกขณะที่ชีวิตเราเป็นเราผ่านมา แล้วใครจะรักเราได้ หลังจากคิดได้เช่นนั้นผู้เขียนเองจึงกล้าเผยผิวอย่างภาคภูมิใจถึงแม้จะมีแผลเป็นอยู่มากมายก็ตาม
เมื่อทัศนคติที่มีต่อผิวเปลี่ยนไป กำลังใจในการดูแลตัวเองก็มีเพิ่มมากขึ้น ถึงกระนั้นก็ต้องไม่กดดันตัวเองหรือใส่ใจกับคำทักของคนอื่นมากเกินไป เราต้องยอมรับให้ได้ว่ารอยแผลเหล่านั้นใช้เวลานานนับปีถึงจะกลับมาสวยดังเดิมหรือไม่ก็ดีกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้ โดยวิธีที่ตัวผู้เขียนปฏิบัติตลอด2ปีมีดังต่อไปนี้
1.ปกป้องผิวจากแสงแดด เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการรักษาผิวไม่ว่าจะเป็นคนที่เป็นอีสุกอีใสหรือคนที่ต้องการรักษาผิวให้กระจ่างใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผลที่เกิดจากอีสุกอีใสนั้นนับได้ว่ามีความบอบบางมากเนื่องจากผิวที่สร้างขึ้นใหม่จากหลุมแผลนั้นถือได้ว่าเป็นเนื้อเยื่อใหม่ เมื่อโดนแสงทั้งUVA และ UVB จึงมีความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้เนื้อเยื่อใหม่นั้นคล้ำและถูกเผาไหม้ง่ายมาก ดังนั้นแล้วการปกป้องผิวด้วยครีมกันแดดและเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวจึงจำเป็นมากโดยเฉพาะในช่วงปีแรกที่ผิวเพิ่งเริ่มสร้างใหม่ได้ไม่นาน
![]() |
แนะนำเป็น Biore UV Anti-Pollution body care serum Intensive white Spf50+ PA+++ |
2.ขัดผิวและพอกผิวด้วยสมุนไพร อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วข้างต้น ทั้งทานาคา ไพล ขมิ้นอ้อย เป็นสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคทางผิวหนังอีกทั้งยังช่วยทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้นได้มาก ในช่วงสองเดือนแรกการพอกผิวขัดผิวจำเป็นที่จะต้องทำทุกๆวัน หลังจากนั้นจึงลดเหลือเพียงสัปดาห์ละ2ครั้ง ทำแบบนี้จนกว่ารอยแผลจะจางลง ตัวผู้เขียนเองทำแบบนี้อยู่ประมาณ1ปี รอยแผลก็จางลงจนกลืนเนียนไปกับสีผิวเดิม
3.ใช้โลชั่นบำรุงผิวทุกครั้งหลังอาบน้ำ นี่คือขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้สองขั้นตอนแรก เพราะโลชั่นบำรุงผิวจะช่วยให้รอยแผลเป็นชุ่มชื้นและกระจ่างใสมากขึ้น หากโลชั่นบำรุงผิวตัวนั้นมีวิตามินบี3หรือวิตามินซีด้วยจะยิ่งทำให้ผิวกระจ่างใสได้เร็วมากยิ่งขึ้น
(โดยผู้เขียนใช้โลชั่นของวาสลีน เฮลตี้ ไวท์ Spf30 PA++)
(และนีเวีย เอ็กซ์ตร้า ไวท์ อินสแตนท์ ออร่า เซรั่ม Spf 33)
ทั้งสามขั้นตอนข้างต้นต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อาจใช้เวลานานสักหน่อย อย่างตัวผู้เขียนเองต้องฟื้นบำรุงผิวถึงสองปีจึงกลับมามีผิวเนียนสวยดังเดิม(แต่หลายคนบอกว่าผิวของผู้เขียนดีกว่าตอนก่อนจะเป็นอีสุกอีใสด้วยซ้ำ) และระหว่างนี้สิ่งที่เราต้องยอมรับให้ได้คือผิวเราไม่ได้สวยเหมือนเดิมนัก แต่อย่างไรเราก็ต้องภูมิใจและรักในสิ่งที่เราเป็นให้ได้ทุกขณะ รอไม่นานนักผิวที่เรารักก็จะกลับมาทำให้คนอื่นหลงรักผิวเราอีกครั้งแน่นอน
Comments
Post a Comment